วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

26 August 2556

ความรู้ที่ได้รับ

***วันนี้อาจารย์ได้ติดประชุม อาจารย์ให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมที่คณะศึกษาศาสตร์***





19 August 2556

ความรู้ที่ได้รับ

วันนี้อาจารย์ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม ๆ ละ  3  คน  แล้วอาจารย์มีกล่องกระดาษให้  1  ใบ    ให้นักศึกษานำกล่องกระดาษมาทำเป็นของเล่นวิทยาศาสตร์เข้ามุม
กลุ่มของดิฉันมีสมาชิก ดังนี้
  1. นางสาว จินตนา      กาขาว
  2. นางสาว ปนัดดา      บุญทน
  3. นางสาว วริศรา        ประทักษ์ขีนัง
ของเล่นเข้ามุมของกลุ่มดิฉันคือ  กล้องส่องรุ้ง

วัสดุ / อุปกรณ์



  1. ช่องสี่เหลี่ยมขนาด  2 - 3 นิ้ว  จะเป็นช่องมอง ใช้ Card  Phone      2  ใบติดด้วยเทปกาวให้ขอบของการ์ดห่างกันเท่ากับความหนาของกระดาษ 2 - 3 แผ่น ใช้กาวหรือเทปสองหน้าติด  CD เข้ากับข้างในของกล่อง


  2.  ทำเสร็จแล้วอาจปิดด้วยกระดาษสี ให้ดูเรียบร้อยสวยงานยิ่งขึ้น


  3.  ถ้ามีกล่องอีกใบอาจนำมาต่อด้านข้าง โดยเจาะรูปสี่เหลี่ยม ให้ตรงกับด้านข้างของกล่องใบแรก แล้วใส่หลอดไฟไว้ด้านใน ก็จะทำให้สพดวกต่อการมองเห็น

   5.  แสงจากหลอดไฟ  จะส่องผ่านช่องเปิดระหว่าง  Card  Phone  (ทำหน้าที่เป็น  Slit) กระทบบนแผ่น  CD  (ทำหน้าที่เป็น Grating) และสะท้อนเป็นแถบแสง (Light Spectrum) มาเข้าตาของเราที่มองผ่านช่องเปิด














12 August 2556

(H.M.The Queen?s Birthday)

วันแม่ปีนี้มีคำอยากจะบอกแม่ว่า

 I miss you, wanna go back home to hug you, kiss you Love you mom!!!

คิดถึงแม่ อยากกลับบ้านนอกไปกอดแม่ หอมแม่ รักแม่

ประวัติวันแม่ 


         แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ .. 2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน .. 2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุน จนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป  

          มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล . พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวัน แม่ของชาติ  

          ต่อมาถึง .. 2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี .. 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน


 กิจกรรมต่าง ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ 

          1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน 

          2. จัดกิจกรรมต่าง เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ   

          3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่ 

          4. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่ 


 การจัดงานวันแม่แห่งชาติในประเทศไทย
 งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม .. 2486 สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี .. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน 

          
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม .. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี .. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ 

สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่



          
          สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่คือ ดอกมะลิ ซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย 

 คำขวัญวันเเม่ ประจำปี .2556

  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2556 ความว่า

         "คำโบราณว่าดูนางดูอย่างแม่ คือคำแปลว่าแม่ดีมีลูกเด่น จะชายหญิงรู้ชั่วดีมีกฎเกณฑ์ เพราะจัดเจนแบบอย่างในทางดี"


 เพลงที่ใช้ในวันเเม่

          ค่าน้ำนม คือ เพลงอย่างเป็นทางการที่ใช้ในงานวันเเม่เเห่งชาติ เเต่งขึ้นโดย อาจารย์ สมยศ ทัศนพันธ์ ได้เรียบเรียงบทเพลงที่เรียกได้ว่า ขึ้นหิ้งอมตะ และเป็นงานเพลงชิ้นเอก ซึ่งได้ฟังเมื่อไร เป็นต้องหวนระลึกถึงบุญคุณของเเม่เเละวันคืนเก่าๆ ของวิถีไทยในสมัยก่อน 

          เนื้อเพลง นอกจากจะให้เราระลึกถึงพระคุณเเม่เเล้วยังทำให้เรามองเห็นขนบดั้งเดิมตามวิถีไทย หลายอย่างจากเนื้อเพลง เช่นการศึกษาของผู้ชายไทยสมัยก่อนนั้น มักจะอยู่ในวัดวาอาราม ซึ่งเป็นแหล่งสอนสั่งความรู้ ทางโลก อ่านออกเขียนได้ และ ทางธรรม อันได้แก่ การถือศีล และยึดมั่นในพระรัตนไตรนอกจากนั้น ยังมีความเชื่อกันอีกว่า หากลูกชายบ้านไหน ได้บวชเรียน ก็จะส่งแผ่ อานิสงส์ไปให้กับพ่อแม่ ได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสู่ที่ดี เมื่อถึงกาลแตกดับ 

          ท่วงทำนองเสนาะโสต และ ทุ้มเย็น กับคำร้องที่ตรงไป ตรงมา ชวนให้นึกภาพตามได้ไม่ยาก แม้แต่เด็กเล็กๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครฟังเพลงนี้แล้วจะต้องหลั่งน้ำตาให้กับความซาบซึ้งแห่งรักที่แม่ มีให้เรา... 

          
เพลง ค่าน้ำนม  

          
แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล

          
แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไรมิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม

         
ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน

         
ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย
(
ซ้ำ )

5 August 2556

วันนี้เป็นวันสอบกลางภาค





29 July 2556

ความรู้ที่ได้รับ